เมนู

พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอากาสธาตุ และวิญญาณที่
อาศัยอากาสธาตุจักไม่มีแก่เรา.
ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด.
[733] ดูก่อนคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
เราจัก ไม่ยึดมั่นรูปและวิญญาณที่อาศัยรูปจักไม่มีแก่เรา.
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเวทนา และวิญญาณที่อาศัย
เวทนาจักไม่มีแก่เรา.
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นสัญญา และวิญญาณที่อาศัย
สัญญาจักไม่มีแก่เรา.
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นสังขาร และวิญญาณที่อาศัย
สังขารจักไม่มีแก่เรา.
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวิญญาณ และวิญญาณที่อาศัย
วิญญาณจักไม่มีแก่เรา.
ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึงสำเนียกไว้อย่างนี้เถิด.

ว่าด้วยอรูป 4


[734] ดูก่อนคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
เราจักไม่ยึดมั่นอากาสานัญจายตนฌาน และวิญญาณที่อาศัยอากาสานัญจายตนะ
ฌานจักไม่มีแก่เรา.
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นวิญญาณัญจายคนฌานและ
วิญญาณที่อาศัยวิญญาณัญจายตนฌานจัก ไม่มีแก่เรา.
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นอากิญจัญญายตนฌานและ
วิญญาณที่อาศัยอากิญจัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา.

พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นเนวสัญญานาสัญญายตนฌานและ
วิญญาณที่อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา.
ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด.
[735] ดูก่อนคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
เราจักไม่ยึดมั่นโลกนี้ และวิญญาณที่อาศัยโลกนี้จักไม่มีแก่เรา
พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นโลกหน้า และวิญญาณที่อาลัย
โลกหน้าจักไม่มีแก่เรา. ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด
[736] ดูก่อนคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
อารมณ์ใดที่เราได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้แสวงหา ได้พิจารณา
ด้วยใจแล้ว เราจักไม่ยึดมั่นอารมณ์แม้นั้น และวิญญาณที่อาศัยอารมณ์นั้นจัก
ไม่มีแก่เรา ดูก่อนคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้เถิด.
[737] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้ อนาถบิณฑิกคฤหบดี
ร้องไห้ น้ำตาไหล ขณะนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะนาถบัณฑิกคฤหบดี
ดังนี้ว่า ดูก่อนคฤหบดี ท่านยังอาลัยใจจดใจจ่ออยู่หรือ.
อ. ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ กระผมมิได้อาลัย มิได้ใจจดใจจ่อ
แต่ว่ากระผมได้นั่งใกล้พระศาสดาและหมู่ภิกษุที่น่าเจริญใจมาแล้วนาน ไม่เคย
ได้สดับธรรมมีกถาเห็นป่านนี้.
อา. ดูก่อนคฤหบดี ธรรมกถาเห็นปานนี้ มิได้แจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์
ผู้นุ่งผ้าขาว แต่แจ่มแจ้งแก่บรรพชิต
อ. ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอธรรมีกถาเห็นปานนี้
จงแจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาวบ้างเถิด เพราะมีกุลบุตรผู้เกิดมามีกิเลส-
ธุสีในควงตาน้อย จะเสื่อมคลายจากธรรม จะเป็นผู้ไม่รู้ธรรม โดยมิได้สดับ.

ครั้นนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์กล่าวสอนอนาถ-
บิณฑิกคฤหบดีด้วยโอวาทนี้แล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป.

การเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า


[738] ต่อนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีเมื่อท่านพระสารีบุตรและท่าน
พระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน ก็ได้ทำกาลกิริยาเข้าถึงชั้นดุสิตแล ครั้งนั้น
ล่วงปฐมยามไปแล้ว อนาถบิณฑิกเทพบุตรมีรัศมีงามส่องพระวิหารเชตวัน ให้
สว่างทั่ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มี-
พระภาคเจ้ายืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
พระเชตวันนี้มีประโยชน์ อันสงฆ์ผู้
แสวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผู้เป็น
ธรรมราชาประทับ เป็นที่เกิดปิติแก่ข้า-
พระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วย
ธรรม 5 อย่างนี้ คือ กรรม 1 วิชชา 1
ธรรม 1 ศีล 1 ชีวิตอุดม 1 ไม่ใช่บริสุทธิ์
ด้วยใครหรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล
บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์
ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย
จะบริสุทธิ์ในธรรมนั้นได้ด้วยอาการนี้
พระสารีบุตรนั้นแล ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วย
ปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ